พระมหาชนก The Story of HAMAJANAKA
บทนำ
พระมหาชนก เป็นเรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก อันเป็นชาดก ๑๐ ชาติสุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาดกเรื่องนี้เป็นการบำเพ็ญความเพียรเป็นบารมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยจึงทรงค้นเรื่องพระมหาชนกในพระไตรปิฎกและทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษตรงจากมหาชาดกตั้งแต่ต้นเรื่อง โดยทรงดัดแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังทรงแปลเป็นภาษาสันสกฤษประกอบอีกภาษา รวมทั้งแผนที่ฝีพระหัตถ์ แสดงสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองโบราณบางแห่งและข้อมูลอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับทิศทางลม กับกำหนดวันเดินทะเลตลอดจนจุดอัปปางของเรืออับโชค ทรงคาดคะเนโดยอาศัยข้อมูลทางโหราศาสตร์ แสดงถึงพระปรีชาในด้านอักษรศาสตร์ ภูมิศาสตร์และโหราศาสตร์ไทย ในโอกาสเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกแห่งราชกาล เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ พระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก ก็ออกจำหน่ายและเป็นที่ชื่นชมโดยทั่วไปองก์ ๑ กำเนิด
พระเจ้ามหาชนกฯ ผู้ครองกรุงมิถิลาแห่งแคว้นวิเทหะที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ทรงมีพระโอรส ๒ พระองค์ พระองค์แรกทรงมีพระนามว่าพระอริฏฐชนกผู้ทรงมีความเข้มแข็งเฉียบขาด ส่วนองค์ที่สองทรงพระนามว่าพระโปลชนกผู้ทรงมีพระทัยเมตตาโอบอ้อมอารี ครั้นพระเจ้ามหาชนกฯทรงสวรรคต พระอริฏฐชนกขึ้นครองราชย์โดยมีพระโปลชนกเป็นอุปราช ทั้ง ๒ พระองค์มีความคิดเห็นในการปกครองที่แตกต่างกัน พระอริฏฐชนกทรงเห็นว่าอาณาจักรมิถิลาจะต้องยิ่งใหญ่ภายใต้กองทัพที่เข้มแข็ง ส่วนพระโปลชนกทงเห็นว่าต้องไม่ลืมจิตใจที่เปี่ยมสุขของประชาชนด้วยในเวลาต่อมามีอมาตย์ผู้ทุจริตได้ออกอุบายใส่ความพระโปลชนก จนพระองค์ถูกจับไปขังไว้ แต่พระองค์ทรงตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักสิทธิ์จนสามารถหลบหนีออกมาพร้อมผู้จงรักภักดีและได้ไปพำนักอยู่ ณ เมืองชายแดน จนกระทั่งวันหนึ่งะรัโปลชนกได้นำทัพกลับมายังกรุงมิถิลาเพื่อหวังจะขอปรับความเข้าใจกับพระอริฏฐชนก แต่ถูกขัดขวางจากอมาตย์ผู้นั้นให้เกิดความเข้าใจผิด จนก่อให้เกิดสงคราม ขณะเดียวกันพระอริฏฐชนกทรงเป็นห่วงพระเทวี มเหสีของพระองค์ที่กำลังทรงพระครรภ์อยู่ จึงได้หลบหนีออกไปจากวังเสีย ในสนามรบพระอริฏฐชนกทรงสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากฝีมือของอมาตย์ผู้นั้น หลังจากนั้นพระโปลชนกจึงขึ้นครองราชย์สืบต่อแแทน พระเทวีทรงหนีออกจากกรุงมิถิลาอย่างยากลำบาก แต่ด้วยบุญญาธิการของพระโอรสในครรภ์จึงทำให้ทรงได้รับความช่วยเหลือจากท้าวสักกเทวราชที่ช่วยให้พระองค์สามารถหลบหนีไปถึงเมืองจัมปากะได้ ณ ที่นี้พระเทวีได้ทรงรับความช่วยเหลือจากอุทิจจพราหมณ์มหาศาล โดยอุปการะรับพระเทวีเป็นน้องสาวต่อมมาพระโอรสในครรภ์ทรงปรพสูติกาล โดยมีพระนามตามพระอัยยิกาว่า "พระมหาชนกกุมาร"
องก์ ๒ ความเพียร
เมื่อพระโอรสทรงเจริญวัยได้ถูกเพื่อนๆ ล้อว่าเป็นลูกหญิงหม้ายพระมารดา จึงเล่าความจริงให้ทราบว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์จึงตั้งพระทัยว่าเมื่อเติมใหญ่แล้วจะไปเอาราชสมบัติและกรุงมิถิลาคืนมาให้ได้ ครั้นเมื่อพระมหาชนกกุมารทรงเจริญวัยเติบใหญ่เปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถ พระองค์ทรงีตรัสกับพระมารดาว่าจะไปล่องเรือทำการค้าขายที่ดินแดนสุวรรณภูมิเพื่อสะสมทุนรอนและกำลังพลเพื่อหวังที่จะชิงราชสมบัติคืนมาให้ได
ระหว่างทางในมหาสมุทรได้มองเห็นพายุกระหน่ำเรืออย่างรุนแรง บรรดาลูกเรือทั้งหลายหวาดกลัวคร่ำครวญหนีตายกันอย่างโกลาหล ตรงกันข้ามกับพระมหาชกที่ทรงตระหนักว่าเรือใกล้จะแตกเต็มที จึงทรงตั้งมั่นในสติและเตรียมพระองค์โดยทรงเสวยให้อิ่ม และนำผ้าชุบน้ำมันมาพันกายให้แน่นหนา เมื่อเรือล่มเหล่าบรรดาลูกเรือที่ขาดสติและเดิมไม่เชื่อในสิ่งที่พระมหาชนกได้ทรงเตือนเกี่ยวกับพายุ จึงตกน้ำกลายเป็นอาหารของฝูงปลาและสัตว์ทะเลทั้งหลาย ส่วนพระมหาชนกก็ทรงแหวกว่ายด้วยความเพียรอยู่ในมหาสมุทรนี้เป็นเวลาถึง ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลาเทพธิดาผู้รักษาท้องมหาสสมุทรเห็นพระมหาชนกว่ายน้ำอยู่จึงลงมาช่วยพระมหาชนกและได้มีโอกาสสนทนาพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นและทัศนคติ จนทำให้นางมณีเมขลาเห็นว่าพระมหาชนกถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม จึงช่วยอุ้มพระมหาชนกจนมาถึงฝั่งกรุงมิถิลา
องก์ ๓ ปัญญา
ที่กรุงมิถิลานี้พระโปลชนกกำลังทรงพระประชวรอย่างหนัก พระองค์ประสงค์ให้พระธิดาคือพระนางสีวลีเทวีได้ทรงมีคู่ครอง โดยจะทรงยกพระราชสมบัติทั้งหมดให้พร้อมด้วยพระธิดากับผู้ใดที่ไขปริศนาของพระองค์ได้ เมื่อพระโปลชนกสิ้นพระชนม์ลง เหล่าอมาตย์ได้จัดพิธีเสี่ยงราชรถเพื่อหาผู้มีบุญญาบารมีมาไขปริศนานั้นราชรถได้มาหยุดที่พระมหาชนกผู้ซึ่งทรงบรรทมอยู่ในสวน พระองค์ทรงไขปริศนาได้หมดทุกข้อ ทุกคนในกรุงมิถิลาต่างพากันสรรเสริญในพระปรีชาสามารถของพระองค์ จึงได้อัญเชิญพระองค์ให้ทรงอภิเษกกับพระนางสีวลีเทวีเมื่อขึ้นครองราชย์ได้ทรงปกครองด้วยหลักทศพิธราชธรรมและนำพาความผาสุกมาสู่ปวงประชาชน วันหนึ่งพระมหาชนกเสด็จประพาสอุทยาน พระองค์ทรงเสวยมะม่วง และตรัสว่า มะม่วงรสชาติดีดุจรสทิพย์ หลังจากพระองค์เสด็จกลับ บรรดาประชาชนที่ทราบข่าวก็เเข้ามาโค่นต้นมะม่วงต้นนั้นเพื่อหวังจะเอาผลของมันมาบริโภค เมื่อพระมหาชนกทรงทราบความจึงทรงสังเวชพระทัยอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้น ทรงได้เปรียบเปรยว่า "แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล บรรพชาเช่นกับต้นไม้หาผลมิได้ ภัยย่อมมีแก่ผู้มีความกังวล ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีความกังวล"
หลังจากนั้นจึงมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญนำหลักการของพระองค์ไปทดลองเพื่อฟื้นฟูต้นมะม่วงที่ถูกโค่นลง และหาวิธีการที่ทำให้ต้นมะม่วงที่ไร้ผลกลับมาเกิดผล พร้อมกันนั้นพระองค์ทรงมีพระดำริให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นชื่อว่า "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" เพื่ออบรมวิชาการด้านต่างๆแก่บรรดาเหล่าอมาตย์ข้าราชการและประชาชนในกรุงมิถิลา เพื่อที่ทุกคนจะได้มีวิชาความรู้ทั่วไปและมีสามัญสำนึกไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เฉกเช่นเหล่าคนที่ชอบกินผลมะม่วงแต่กลับทำลายต้นมะม่วงทิ้งไป และเพื่อสังคมจะได้เจริญรุ่งเรืองอย่างผาสุกสืบต่อไปชั่วกาลนาน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น